สารบัญบทความ
ทุกวันนี้เวลาแวะเข้าปั๊ม หรือผ่านปั๊มน้ำมัน เคยสงสัยกันไหมคะ ว่าค่าตัวเลขหลังชื่อน้ำมันคืออะไรกัน แล้วมันแตกต่างกันอย่างไร ถ้าไม่นับรวมแค่เรื่องของราคา เราอาจจะรู้แค่ว่ารถของเราเติมตัวนี้ แล้วตัวอื่น ๆ คืออะไรกันค่ะ ขึ้นชื่อว่าน้ำมันเชื้อเพลิงก็ถือว่าเป็นแหล่งพลังงานหลักของรถยนต์ ที่ใช้ในการขับเคลื่อน โดยเกิดจากการเผาไหม้ในห้องเครื่องยนต์ ซึ่งในบ้านเราแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ น้ำมันเบนซิน และ น้ำมันดีเซล
ความแตกต่างระหว่างน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์
ถ้าเราสังเกตน้ำมันแต่ละชนิดจะมีเลขห้อยท้ายกำกับเอาไว้ด้วย เลขที่ว่านั้นเราเรียกกันว่า “ค่าออกเทน (Octane)” คือค่ามาตรฐานกลางที่ใช้กำหนดความสามารถในการต้านทานการบีบอัดมากแค่ไหน ยิ่งค่าตัวเลขมาก หรืออกเทนสูงมาก ยิ่งทนการบีบอัดไม่ให้ชิงจุดระเบิด ก่อนการจุดประกายไฟในห้องเผาไหม้ ในระหว่างกระบวนการทำงานของเครื่องยนต์
น้ำมันเบนซิน
เป็นเชื้อเพลิงที่กลั่นออกมาจากน้ำมันดิบที่นำมาปรับปรุงใหม่ โดยความเข้มข้นของค่าออกเทนนั้นขึ้นอยู่กับการใช้งานแต่ละประเภท ที่เราจะเห็นกันบ่อย ๆ คือ เบนซินออกเทน 95 หรือ เบนซิน 95 จะมีความเข้มข้นสูงสุดที่ใช้กันในรถยนต์บ้านเรา
- เบนซิน 95 มีค่าออกเทนสูงสุดที่ 95% ทำให้การเผาไหม้ของเครื่องยนต์สมบูรณ์และสะอาด การตอบสนองในการขับขี่เต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังถือว่าเป็นน้ำมันที่มีความเสถียรที่สุด ใช้กับรถยนต์ได้ทุกชนิดและมีราคาสูงอีกด้วย
- เบนซิน 91 มีค่าออกเทนอยู่ที่ 91% ไม่มีส่วนผสมของเอทิลแอลกอฮอล์ มีอัตราการเร่ง และการตอบสนองต่ำกว่าเบนซินออกเทน 95 เล็กน้อย แต่ปัจจุบันน้ำมันชนิดนี้ได้ยกเลิกจำหน่ายไปแล้ว
แก๊สโซฮอล์
คือส่วนผสมของน้ำมันเบนซินกับเอทานอล ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ที่เอทานอลสามารถผลิตได้จากพืชที่ปลูกในประเทศ เช่น อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวฟ่าง ข้าวโพด จนกลายมาเป็นพลังงานทดแทน โดยเราจะสังเกตได้ว่าจะมีตัว E และตัวเลขห้อยท้าย นั่นคือจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่มีเอทานอลผสมอยู่นั่นเอง
- แก๊สโซฮอล์ 95 (E10) เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงในกลุ่มของแก๊สโซลีน ที่ถูกนำมาผลิตแทนเบนซิน 95 โดยมีส่วนผสมของน้ำมันเบนซินออกเทน 95 (9 ส่วน) : เอทานอล 1 ส่วน สามารถใช้แทนหรือสลับกับน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 ได้ตามปกติโดยไม่ต้องดัดแปลงเครื่องยนต์
- แก๊สโซฮอล์ 91 (E10) เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของ น้ำมันเบนซินออกเทน 91 (9 ส่วน) :
เอทานอล 1 ส่วน มีข้อดีคือ ราคาถูก และเป็นที่นิยมอย่างมาก ไม่มีผลกระทบต่อสมรรถนะเครื่องยนต์ และอัตราการเร่งไม่แตกต่างจากน้ำมันเบนซินออกเทน 91 มากนัก
- แก๊สโซฮอล์ E20 เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของ น้ำมันเบนซินออกเทน 95 อยู่ 80% และ
เอทานอล 20% โดยอัตราการเร่งจะด้อยกว่าแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 เน้นการใช้งานในเมืองเป็นหลัก ข้อดี : มีราคาที่ย่อมเยา
ข้อเสีย : การที่น้ำมันมีแอลกอฮอล์มากขึ้น จะส่งผลเสียต่อบางชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ที่ไม่รองรับน้ำมันประเภทนี้ ซึ่งอาจทำให้เครื่องยนต์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น และมีอายุการใช้งานที่สั้นลง
- แก๊สโซฮอล์ E85 เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของ น้ำมันเบนซินออกเทน 95 อยู่ 15% และ
เอทานอล 85% จัดว่าเป็นน้ำมันที่มีราคาถูกที่สุดเลยค่ะ เพราะมีปริมาณส่วนผสมของน้ำมันเบนซินออกเทนที่ค่อนข้างน้อย มีการระเหยสูง
ข้อเสีย : ด้วยความที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อยู่มาก หากต้องเดินทางระยะไกล ก็จะมีการเผาไหม้ที่ไวกว่าน้ำมันชนิดอื่น แม้จะราคาถูก แต่ก็ต้องเติมบ่อยขึ้น ส่วนสมรรถนะในการขับขี่ ถือว่ายังไม่เทียบเท่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินแบบธรรมดา ข้อเสียอีกอย่างของการมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อยู่เยอะ คือแอลกอฮอล์จะมีส่วนช่วยในการกัดกร่อนชิ้นส่วนรถยนต์ ส่งผลให้ชิ้นส่วนของรถยนต์เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติอีกด้วย
ข้อดี : เป็นเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดมลพิษที่ปล่อยจากไอเสีย ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกตัวหนึ่ง ที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดภาวะโลกร้อน
ควรเลือกน้ำมันชนิดไหนถึงจะคุ้มค่ากว่ากัน?
ในแง่ของความคุ้มค่านั้น เราขอยกมาแค่ในส่วนของแก๊สโซฮอล์ที่เห็นความต่างได้อย่างชัดเจน นอกจากราคาที่แตกต่างกันแล้ว สิ่งหนึ่งที่ควรหยิบมาพิจารณาก็คือ ปริมาณของแอลกอฮอล์ ยิ่งมีแอลกอฮอล์มากเท่าไหร่ ก็จะทำให้รถยนต์วิ่งได้ระยะทางน้อยลงเท่านั้น เช่น แก๊สโซฮอล์ E85 ถึงแม้จะมีราคาถูกที่สุด แต่มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันมากที่สุด ทำให้หากเราเปรียบเทียบระยะการเดินทางที่เท่ากัน จะพบว่า E85 แพงกว่า E20 เนื่องจาก E20 จะเผาผลาญน้ำมันน้อยกว่าต่อกิโลเมตร นั่นเป็นผลมาจากมีแอลกอฮอล์ที่น้อยกว่านั่นเอง นั่นหมายความว่า E20 ประหยัดที่สุดในกลุ่มของแก๊สโซฮอล์
เราก็ได้รู้จักกับค่าออกเทนของน้ำมันแต่ละชนิดกันไปแล้วนะคะ หวังว่าบทความนี้จะสามารถตอบโจทย์ของคุณได้ว่าควรจะเลือกน้ำมันแบบไหนถึงจะคุ้มค่ากว่ากัน โดยใช้หลักการพิจารณาดังที่ยกมาในข้างต้นนี้ และอย่าลืมที่จะเลือกน้ำมันที่ใช่และเหมาะสมกับรถ รวมถึงการใช้งานของคุณด้วย เพื่อให้ได้สมรรถนะและการขับขี่ที่มีประสิทธิภาพที่สุด